มะยม

จุดกำเนิดและการแพร่กระจาย[แก้]
พืชชนิดนี้พบได้ทั่วเอเชีย และพบปลูกตามบ้านในแคริบเบียน อเมริกากลาง และอเมริกาใต้[3]กระจายพันธุ์ข้ามมหาสมุทรอินเดียไปจนถึงมอริเชียส และข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงฮาวาย[4][5] แพร่กระจายไปจนถึงภูมิภาคทะเลแคริบเบียนเมื่อ พ.ศ. 2336 โดยวิลเลียมไบลก์นำมะยมจากติมอร์ไปยังจาเมกา[5] พืชชนิดนี้พบได้ทั่วไปในกวม อินโดนีเซีย เวียดนามใต้ ลาว ตอนเหนือของคาบสมุทรมลายู และอินเดีย[4][3]ยังคงพบพืชชนิดนี้ในฟิลิปปินส์ ไทย กัมพูชา และฮาวาย[4] พบเห็นได้ในเปอร์โตริโก เอกวาดอร์ เอลซัลวาดอร์ เม็กซิโก โคลอมเบีย เวเนซุเอลา สุรินาเม เปรู และบราซิล
การใช้ประโยชน์[แก้]
มะยมใช้รับประทานเป็นผลไม้สดและแปรรูป เช่น แช่อิ่ม ดอง น้ำมะยม แยม หรือกวน ใช้ทำส้มตำ ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักสด กินกับน้ำพริก ลาบ ส้มตำ ขนมจีน ในอินเดียและอินโดนีเซีย นำใบไปปรุงอาหาร [5] ผลใช้ปรุงรสอาหารในอินโดนีเซีย [5][3] ในฟิลิปปินส์ใช้ทำน้ำส้มสายชู หรือกินดิบหรือดองในเกลือและน้ำส้มสายชู ในมาเลเซียนิยมนำไปเชื่อม ในอินเดียและอินโดนีเซียนิยมนำใบมะยมไปประกอบอาหาร[5] เนื้อไม้แข็งแรง ทนทาน แต่ต้นไม่ใหญ่มาก[3] ในอินเดีย เปลือกไม้ใช้เป็นแหลางของแทนนิน
ผลมะยมมีฤทธิ์กัดเสมหะและเป็นยาระบาย ใบเป็นส่วนประกอบของยาเขียว[1] ตำราไทยใช้ รากแก้ไข รักษาโรคผิวหนัง น้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน ใบ ต้มน้ำอาบแก้คัน แก้ไข้ เหือด หิด อีสุกอีใส ในผลมีแทนนินเดกซ์โทรส เลวูโลส ซูโครส วิตามินซี ในรากมี beta-amyrin, phyllanthol, แทนนิน ซาโปนิน กรดแกลลิก น้ำเชื่อมใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร ในอินเดียผลใช้เป็นตัวกระตุ้นเลือดสำหรับตับ [3] มะยมมี 4-hydroxybenzoic acid กรดคาเฟอิก[6] adenosine, kaempferol และกรดไฮโปแกลลิก [7]สารสกัดจากมะยมที่สกัดด้วยเอทานอลมีประสิทธิภาพดีทในการยับยั้งการเจริญของ E. coli O157:H7 และ Propionibacterium acnes[8]
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น